วันพฤหัสบดีที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2555

เรื่องเศร้าของคนชอบไข่แดง


เรื่องเศร้าของคนชอบไข่แดง
          
ศ.นพ.ธีระวัฒน์  เหมะจุฑา

          "ไข่" เป็นอาหารที่มีประโยชน์ เพราะมีทั้งโปรตีน วิตามิน สารอาหารทั้งปวงครบถ้วน เหมาะสำหรับเด็กที่กำลังเจริญเติบโตและถือเป็นอาหารประจำชาติ ทั้งไข่เจียว ไข่พะโล้ ไข่ลูกเขย ไข่ดาว ปัญหาโลกแตกที่ถกเถียงกันมาเนิ่นนาน คือ เรื่องไข่แดง ซึ่งอุดมไปด้วยคอเลสเตอรอล จะเกิดโรคหัวใจ เส้นเลือดสมองตีบ อัมพฤกษ์ อัมพาต หรือไม่ถ้ากินมาก การศึกษาสำคัญอยู่ในวารสารของสมาคมแพทย์สหรัฐ ปี 1999 ติดตามผู้ชาย จำนวน 37,851 ราย (อายุ 40-75 ปี) และผู้หญิง 80,082 ราย (34-59 ปี) ไปเป็นเวลา 8-14 ปี โดยแรกเริ่มไม่มีใครมีโรคประจำตัวทางหัวใจ เบาหวาน ไขมันสูง หรือมะเร็ง พบว่า มีผู้ชาย 1,124 ราย และ ผู้หญิง 1,502 ราย เจ็บป่วยล้มตายด้วยโรคหัวใจและอัมพฤกษ์ แต่ไม่มีความสัมพันธ์ชัดเจนกับปริมาณไข่แดงที่บริโภค ยกเว้นแต่ในผู้ป่วยเบาหวาน ดังนั้น คนปกติที่ไม่มีโรคประจำ ก็สามารถกินไข่ได้วันละ 1 ฟอง และเป็นที่มาของพีระมิดอาหารที่ไม่เคร่งครัดมากในเรื่องของการกินไข่ในคน ปกติ จนกระทั่งหลังๆ มีบทความข้อเขียนต่างๆ จากนักวิชาการบ้าง หมอ หรือผู้นิยมกินไข่นานาชนิด สนับสนุนให้กินไข่ได้วันละ 3-4 ฟอง โดยอ้างว่าในไข่แดงมีไขมันเสีย (LDL) ชนิดที่บำรุงเส้นเลือด และไม่มีโทษ
          การศึกษาล่าสุดน่าจะเป็นข้อควรระวังของพวกเราทั้งหลายที่เริ่มเข้าวัยกลางคน ตั้งแต่วัย 45 ปีเป็นต้นไป ที่แม้ไม่มีโรคประจำตัว การกินไข่แดง มีผลสัมพันธ์กับเส้นเลือดตีบ โดยที่เป็นรายงานในวารสารเส้นเลือดตีบ (Atherosclerosis) เผยแพร่ในเดือนสิงหาคม 2012 โดยคณะของศาสตราจารย์ David Spence จากศูนย์โรคเส้นเลือดสมอง Robarts Research Institute และศูนย์โภชนาการของแคนาดา หลักฐานของเส้นเลือดตีบทำโดยการวัดปริมาณตะกรันที่เกาะที่เส้นเลือดที่คอ ซึ่งตามปกติคนที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป ก็เริ่มจะมีเส้นเลือดตีบตามวัย
          แต่สำหรับคนที่บริโภคไข่เป็นประจำจะเร่งให้ตะกรันเกาะทำให้เส้นเลือดตีบ ในอัตราที่รวดเร็วเลวร้ายเทียบเป็นประมาณร้อยละ 70 ของที่เกิดจากการสูบบุหรี่ โดยเห็นได้ชัดเจนถ้ากินไข่ตั้งแต่ 3 ฟองต่อสัปดาห์ขึ้นไป และในคนที่เป็นเบาหวานการบริโภคไข่วันละฟอง จะเพิ่มอัตราการเป็นเส้นเลือดหัวใจตีบขึ้น 2-5 เท่า
          ผลการศึกษาอีกประการที่น่าตกใจคือ ภาวะตะกรัน หรือเส้นเลือดตีบจากการกินไข่ ไม่มีความสัมพันธ์ชัดเจนกับระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ความดัน การสูบบุหรี่ อ้วนหรือไม่อ้วน เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่ากินไข่แล้วไขมันไม่สูงก็อย่าชะล่าใจ สำหรับคนที่ปกติแข็งแรงอายุไม่มาก ไม่มีโรคประจำตัวคงไม่มีปัญหา แต่ถ้าเป็นเบาหวาน มีโรคเส้นเลือดหัวใจสมอง หรือเริ่มเข้าสู่วัยกลางคนต้องไม่ผลีผลามรับประทานไม่ยั้งอย่างที่ทำเป็น ประจำ
          ทั้งนี้ เตือนตัวผู้เขียนเอง ซึ่งก็ชอบกินไข่เป็นชีวิตจิตใจ...บ๊าย...บาย "ไข่แดง"

แหล่งข่าวโดย » มติชน(27 สค.55)

วันพุธที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ยาจากบร็อคโคลี อาวุธสู้มะเร็งเต้านม

       
        
ยาจากบร็อคโคลี  อาวุธสู้มะเร็งเต้านม
คงจะเป็นข่าวดีสำหรับการรักษามะเร็งเต้านม เพราะล่าสุด เดลิเมล เผยว่า มีการทดลองให้หญิงที่ป่วยเป็นมะเร็งเต้านมกินยาซึ่งมีสารสกัดจากบร็อคโคลี ถือเป็นการต่อยอดงานวิจัยชิ้นก่อนๆ ที่บอกว่า หลังกินบร็อคโคลี สารประกอบตัวหนึ่งในผักดังกล่าวจะเข้าไปกระตุ้นให้ร่างกายสร้างเอนไซม์ปก ป้องเนื้อเยื่อเต้านม
          สารสกัดจากบร็อคโคลีที่นำมาให้กับผู้ป่วยมะเร็งเต้านม คือ กลูโคราฟานิน เมื่อรับเข้าไปแล้วร่างกายจะนำไปผลิตเอนไซม์ชื่อ ซัลโฟราเฟน โดดเด่นด้วยสรรพคุณป้องกันเนื้องอก มะเร็ง
โดยด็อกเตอร์มาเรีย ทรากา ของสถาบันวิจัยอาหาร หรือไอเออาร์ในอังกฤษ ย้ำว่า ซัลโฟราเฟน มีความสำคัญมาก เนื่องจากมีหลักฐานชี้ว่า ช่วยรักษาสมดุลของสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย และตอบโต้สารก่อมะเร็งต่างๆ ที่ได้รับจากการบริโภคอาหาร สิ่งแวดล้อม และสารอื่นๆ ดังนั้น อาจกล่าวได้ว่า เอนไซม์ตัวนี้เป็นอาวุธป้องกันมะเร็ง
          ทั้งมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอพกินส์ และศูนย์มะเร็งซิดนีย์คิมเมล ทดลองใช้ยาจากสารสกัดของบร็อคโคลี โดยให้ผู้ป่วยมะเร็งเต้านมรับยาทุกวัน นาน 2 สัปดาห์ ปรากฏผลคือ การเจริญเติบโตของเนื้องอกช้าลง ในทางตรงกันข้าม เอนไซม์ซัลโฟราเฟนมีเพิ่มขึ้น
           ส่วนสถาบันมะเร็งไนท์ในออริกอน อเมริกา กำลังจับตาดูว่า การให้สารสกัดจากผักชนิดเดียวกันนี้ที่ 3 ครั้งต่อวัน เป็นระยะเวลา 2 เดือน จะชะลอการเจริญเติบโตของเนื้องอกได้มากน้อยเพียงใด
อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ไม่ได้ป่วยเป็นมะเร็งก็ไม่ควรมองข้ามการกินบร็อคโคลี ที่มีคำแนะนำว่า การกินผักดังกล่าวอย่างน้อย 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์ จะช่วยลดโอกาสเสี่ยงโรคมะเร็งได้.
ทีมเดลินิวส์ออนไลน์
takecareDD@gmail.com

แหล่งที่มา :   เดลินิวส์ออนไลน์

วันพฤหัสบดีที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2555

เต้าหู้กินมากเกินจำเป็นระวังเสี่ยงสูญเสียความจำนะจ้ะ



...ผลวิจัยชี้ว่าผลิตภัณฑ์บางประเภทที่ทำจาก ถั่วเหลือง เช่น เต้าหู้ ถ้ารับประทานมากเกินไป อาจเพิ่มความเสี่ยงในการสูญเสียความจำ ซึ่งเป็นอาการหนึ่งของโรคจิตเสื่อม...
     นัก วิจัยจากมหาวิทยาลัยลัฟเบอเรอในอังกฤษ ได้ศึกษาเรื่องนี้กับผู้สูงวัยชาวอินโดนีเซีย 719 คน ซึ่งอาศัยอยู่ในตัวเมืองและเขตชนบทบนเกาะชวา พบว่าการกินเต้าหู้มากเกินไป คือไม่ต่ำกว่าวันละครั้ง มีส่วนทำให้ความจำแย่ลง โดยเฉพาะผู้บริโภคที่อยู่ในวัย 68 ปีขึ้นไป เป็นที่รู้กันว่า ประชาชนในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา นิยมบริโภคผลิตภัณฑ์ที่ทำจากถั่วเหลือง เพื่อเป็นแหล่งโปรตีนทดแทนการบริโภคเนื้อ คนตะวันตกยังหันมาบริโภคถั่วเหลืองมากขึ้นด้วย เพราะเชื่อว่าดีมีประโยชน์ แต่ผลวิจัยล่าสุดกลับบ่งชี้ว่า ถ้าให้ผู้สูงอายุกินเต้าหู้มากเกินไป อาจทำให้พวกเขาเป็นโรคจิตเสื่อม ซึ่งจะมีผลต่อความคิดและความจำ
     เต้าหู้ เต็มไปด้วยสารไฟโตเอสโตรเจนส์ ซึ่งให้ผลในแบบเดียวกับเอสโตรเจน ที่เป็นฮอร์โมนเพศหญิง ผลวิจัยชิ้นนี้พบว่า ถ้าร่างกายได้รับสารไฟโตเอสโตรเจนส์มากเกินไป อาจเพิ่มความเสี่ยงทำให้เป็นโรคจิตเสื่อม สอดคล้องกับผลวิจัยก่อนหน้านี้ ที่ระบุว่าการรักษาด้วยฮอร์โมนเอสโตรเจน จะทำให้ผู้ที่มีอายุเกิน 65 ปี มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเท่าตัวที่จะเป็นโรคจิตเสื่อมได้ แต่นักวิจัยยังต้องศึกษาในเรื่องนี้เพิ่มเติม เพราะมีความเป็นไปได้อีกเช่นกันว่า เต้าหู้อาจไม่ใช่ตัวการที่ทำให้ผู้สูงอายุในอินโดนีเซียมีความจำแย่ลง แต่อาจมาจากสารกันบูดในเต้าหู้ ที่ไปกระทบกับสมองในส่วนของความจำ ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดชี้ว่า เต้าหู้เป็นอาหารที่ซับซ้อน ประกอบด้วยสารอาหารหลายอย่างที่อาจเป็นสาเหตุในเรื่องนี้ และเห็นว่าผลการศึกษานี้บ่งชี้ว่าสมองของผู้สูงวัยอาจมีปฏิกิริยากับฮอร์โมน เอสโตรเจนในทางตรงกันข้ามกับที่เราเคยคิดไว้ 

ขอบคุณที่มา  http://www.ezythaicooking.com

วันพุธที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2555

สารอาหารที่เซลมะเร็งต้องการ


.........  ใครที่ไม่อยากเป็นมะเร็ง  ........  
..........  วันนี้มีสารอาหารที่เซลล์มะเร็งต้องการมาบอกกัน  ...........
  1. น้ำตาล เช่น น้ำตาลทรายขาว โดยใช้น้ำตาลจากธรรมชาติแทน เช่น น้ำผึ้ง แต่ต้องใช้ในปริมาณที่น้อยมาก เกลือ มีสารจำเป็นที่เซลล์มะเร็งนำไปใช้ ควรงด หรือในปริมาณน้อย
     2. นม ควรดื่ม นำนมถั่วเหลืองทดแทน
     3. เซลล์มะเร็ง เจริญเติบโตในสภาพที่เป็นกรด การบริโภคเนื้อสัตว์ทำให้เกิดสภาพเป็นกรด ควรรับประทานอาหารประเภทปลา ดีกว่าหมู เนื้อ และเนื้อสัตว์ มีแบคทีเรีย ใช้โฮโมนในการเจริญเติบโตปนเปื้อน ที่เป็นอันตรายต่อคนไข้ที่เป็นมะเร็ง
     4. 80% ของผักและนำผลไม้สด ถั่วเมล็ดแห้ง ธัญพืช จะช่วยให้ร่างกายมีสภาพเป็นด่าง 20% จากอาหารที่ปรุงแล้ว น้ำผักและผลไม้สด จะให้เอนไซม์ที่ง่ายต่อการดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย เพื่อไปเสริมสร้างความแข็งแรงให้เซลล์ที่ดี ดังนั้นควรดื่มน้ำผักสด และกินผักดิบ 2-3 ครั้งต่อวัน
     5. หลีกเลี่ยงชา กาแฟ ช็อกโกแลต ที่มีคาเฟอีนที่สูง เป็นดื่มชาเขียวที่มี สารต้านมะเร็ง ดื่มน้ำสะอาด หรือน้ำกรองดีที่สุด หลีกเลี่ยงน้ำประปา และเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ที่มีสภาพเป็นกรด
     6. เนื้อสัตว์ ย่อยยาก และต้องการเอนไซม์ในการย่อยเป็นจำนวนมาก และเนื้อที่ย่อยไม่หมด จะคงตกค้างอยู่ในลำไส้ อันนำไปสู่สารพิษตกค้าง
     7. เซลล์มะเร็ง มีโปรตีนที่ยากแก่การทำลายเป็นเกราะป้องกัน การบริโภคเนื้อสัตว์น้อยลง จะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายไปทำลายเซลล์มะเร็งได้ง่ายขึ้น
     8. อาหารเสริมบางอย่างช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับระบบภูมิคุ้มกัน เพื่อไปทำลายเซลล์มะเร็ง เช่น วิตามินอี วิตามินซี
     9. เซลล์มะเร็ง เป็นเชื้อโรคของจิตใจ ร่างกาย และจิตวิญญาณ การควบคุมอารมณ์ และมองโลกในแง่ดีจะช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันดีขึ้น อารมณ์โกรธ หรือความเครียดจะสร้างสภาพความเป็นกรดให้ร่างกาย ควรเรียนรู้ที่จะรัก และให้อภัย พักผ่อนและสนุกกับการใช้ชีวิต
     10. เซลล์มะเร็งไม่สามารถเจริญเติบโตในที่มีออกซิเจนได้ การออกกำลังกายทุกวัน และหายใจเข้าลึกลึก จะช่วยเพิ่มระดับ ออกซิเจนในเซลล์ การบำบัดด้วยออกซิเจนก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะทำลายเซลล์มะเร็ง
     รู้อย่างนี้แล้ว ถ้าไม่อยากเป็นมะเร็ง หันมาดูแลรักษาสุขภาพกันดีกว่า.     

ขอบคุณที่มา  http://whollymedical.wordpress.com/

ผักยิ่งสด ยิ่งมีคุณค่า ...


ผักยิ่งสด ยิ่งมีคุณค่ามาก... 
                     เพราะผักสดส่วนใหญ่ยังคงคุณค่าวิตามิน เกลือแร่และไฟโตนิวเทรียนท์เมื่อเทียบกับผักที่ผ่านการปรุง ดังนั้นเพื่อให้ได้คุณค่าทางอาหารมากที่สุด ก็ควรรับประทานสด หรือหากต้องปรุง ก็ควรปรุงในระยะสั้น ซึ่งแม้ว่าจะไม่ได้คุณค่าเท่าผักสด แต่ก็มีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่การรับประทานผักสดต้องล้างให้สะอาดและพยายามรับประทานให้มากกว่าผักที่ผ่านการปรุง เช่น ปกติรับประทานผักปรุง 2 ทัพพี ผักสดต้องเพิ่มอีกเท่าตัวเป็น 4 ทัพพีค่ะ
   
ขอบคุณที่มา  https://www.facebook.com/nutrilitethai.fb